If you want something you’ve never had, you must be willing to do something you’ve never done.ประโยคสุดคลาสิค ก็เพิ่มแรงบันดาลใจได้เป็นอย่างดีกับ “ถ้าเราอยากได้อะไรที่ไม่เคยได้ เราต้องทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ”
ถ้าอ่านจบ สิ่งที่เราได้จากทริปนี้ส่วนมากเคยทำครั้งแรกฮะ ไม่ว่าจะเป็น ขี่ช้างมันช่างน่าตื่นเต้น และเกร็งไปตลอดทาง, ไกด์จำเป็นที่ต้องไปเรียนรู้ประวัติศาสต์ของไทยเพิ่มอีกมากโข ,สปาปลา นี่จักกะจี้ได้ใจที่สุด,ดื่มไวน์ท่ามกลางแดดเปรี้ยง เมาเร็วแต่ทำให้บทสนาไม่เงียบเป็นป่าช้า หรือแปลได้ว่าจะพูดมาก ช่างสรรหาเรื่องมาเล่าก็ตอนนี้ละ,พักแบบสมถะไม่ต้องมีแอร์มันก็อยู่ได้นะ,ไม่ต้องวางแผนอะไรมาก มันก็ตื่นเต้นชะมัด, กระทิงแดงนี่ช่วยให้มีแรงฮึดจริงๆนะ,การแบกคอมไปเที่ยวด้วยไม่ได้งาน และแถมหนัก(ก็ไม่รู้จะเอามาทำไม),เวลาน้อยนิดก็มีค่ามากๆกับการจัดแจงช่วยเพื่อนเปลี่ยนเครื่องให้ทัน,แต่ละสายการบินจะ limit น้ำหนักกระเป๋าไม่เหมือนกัน ของฟิลลิปปินส์นี่เอาไปเลย 28 กิโล,คุยกับคนแปลกหน้าแบบเหมือนรู้จักกันมานานโข ไม่ว่าจะควาญช้าง คนขับเรือ คนขับรถตุ๊กๆ ก็ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่เราไม่เคยรู้ หรือที่เรียกว่าเดินเข้ามาสู่โลกอีกโลกนึง ,เมืองไทยมีที่เที่ยวอีกเยอะ ทำไมต่างชาติอิจฉา อยากมาที่นี่กันนัก ทั้งหมดนี้ถ้าอ่านจบแล้วจะรู้จ้า……….
เพื่อน(JK): ยูๆ ไออยากไปประเทศไทย มันเป็นความฝันตั้งแต่เยาว์วัย ว่าอยากไปไปนอนโฮมเสตย์กับชาวบ้าน และไปดู วัฒนธรรมของไทย ไปขี่ช้าง อาบน้ำช้าง ไปดูตลาดน้ำ ไปทะเล และไปทานอาหารอร่อยๆ ไทยๆ อยากกินลาบหมู ส้มตำ ขนมจีน แกงเขียวหวาน หรือจะไปเดินหาของกินที่เป็น street food ที่กรุงเทพ กิน แมลงป่อง ดักแด้ทอดไอชอบกินมากเลยละ
เรา(PP): ห๊า อ่อ อือ โอเค นิ่งไปสักพัก เอาว๊าช่วยเพื่อนทำความฝันให้สำเร็จมันก็ดีนะ ทำไงให้เพื่อนเห็นความอเมซิ่งของไทยสักหน่อย ว่าแล้ว(ในหัวนี่ มี plan ที่เที่ยวเต็มไปหมด plan A-C เลยละ โยงราวยิ่งกว่า mind map อี๊ก) แต่ว่าไอ้ของกินอย่างหลังเนี่ย แมลงทอด ไอว่าไอจะขอบายง่ะ
—-ก่อนออกเดินทาง 2 วัน——
เพื่อน(JK) : ยูๆ ให้เราเตรียมชุดอะไรไปบ้าง ชุดแฟนตาซี รองเท้าส้นสูงไหม
เรา(PP):เดี๋ยวก่อนนะ ไอ้ที่ว่านี่จะใส่ไปไหนฮึ
เพื่อน(JK): ก็ยูจะพาไปดินเนอร์ที่โรงแรมชมวิวดาดฟ้าด้วยไม่ใช่หรอ
เรา(PP):/๑# อ้อ เอาเดรสธรรมดา กับรองเท้าส้นเตี้ยก็พอมั๊ยจ๊ะยูว
และแล้ว นางก็เดินทางจากแคลิฟอร์เนีย มาขึ้นเครื่องซานฟรานซิสโก และมาเปลี่ยนเครื่องฟิลิปปินส์ จนมาถึง กรุงเทพ อย่างปลอดภัย เที่ยง วันอาทิตย์ 24 มิถุนายน และการเริ่มต้นกับทริปผจญภัยก็เริ่มต้นแล้วจ้า
Day 1 นั่งรถไฟฟ้า ไปทานอาหารที่ร้านพริกหยวก และเดินเล่นจตุจักร shopping ชิล ท่ามกลางแสงแดดอันร้อนเปรี้ยง แค่ 35 องศา เอ๊งงง ชิล ชิล หน้าแดง กันไป นางไม่เป็นไร เหงื่อไม่มี แลดูชอบใจทำไมอากาศร้อนดีจัง แต่ดูหน้าเราสิแทบจะอาบน้ำกันเลยทีเดียว
Day2 จิบไวน์ เก๋ๆ นั่งแช่ บนดาดฟ้า ที่ Octave Rooftop Lounge & Bar ชั้น 57 ดูวิว กรุงเทพยามค่ำคืน
ว่าด้วยอุปสรรคเรื่องฟ้า ฝน ที่ไม่ค่อยจะเป็นใจ ไปถึงโรงแรม กะว่าจะนั่งจองไว้ แล้วค่อยไปรับเพื่อนเพราะที่นี่ไม่เปิดจอง รับแต่ walk in และ first come first serve นั่งปุ๊บ ฝนเทกระหน่ำ ห้องอาหารดาดฟ้าเป็นอันต้องปิดไป แต่พวกเราก็ไม่ลดละความพยายาม นั่งรอฝนหยุด ที่ lobby
กว่าจะได้มาซึ่งรูปนี้ พวกเราต้องนั่งรอฝนหยุด กว่า 1 ชั่วโมงเลยทีเดียว
ดื่มด่ำกับบรรยากาศวิว แห่งเมืองศรีวิไล มันก็ไม่อิ่มนะจ๊ะ เลยพาเพื่อนไปเดินเตรดเตร่ หาของกินแนว street food สุดฮิต ที่สุขุมวิท ซอย 38 จากอาหารโรงแรมแลดูไฮโซ มาเป็น ส้มตำ ลาบ หมู คนละแนววไปเลยจ๊ะ แต่มันอร่อยมากกนะ นั่ง กินไป ขำไป สนุกสนานเฮฮา เสียดายไม่มีรูปมาลงแฮะ ด้วยความหิวโหยและคุยเพลิน รูป ไม่สนใจจะถ่าย
Day3 เราตัดสินใจให้เพื่อนลองเที่ยวเล่นเอง 1 วัน ไปวัดพระแก้วมรกต-วัดอรุณ และวัดโพธิ์ นางก็ไปของนางได้ ปรบมือให้รัว ๆ
Day4 จอง cooking class ให้เพื่อนที่สีลม นางเดินทางไปเองนะจ๊ะ เก่งสุดๆ อาจารย์สอนทำผัดไทยจ้าและอีกหลายอย่าง และยังพาไปเดินจ่ายตลาดเพื่อซื้อผัก และ ส่วนผสมด้วยนะ
Day 5 เหินฟ้ามุ่งสู่กระบี่ ชมเกาะกลาง – วัดถ้ำเสือ-เดินเล่นหาดอ่าวนาง-เดินถนนคนเดิน-ทานอาหารริมทาง และตบท้ายด้วยนั่งช้างชมป่าตะลุยลำธาร
ทริปนี้เราไป 3 วัน 2 คืน เฉพาะโรงแรม + ตั๋วเครื่องบินไปกลับ โดยจองแพกเกจของ expedia ก็โอเคอยู่นะ ราคาแพกเกจต่อคนโดยประมาณ คนละ 3600 บาท ก็โอเคอยู่นะจ๊ะ แต่เพื่อนๆ น่าจะหาได้ถูกกว่านี้เนอะ และที่ไม่น่าเชื่อเราจองและเลือกจะมาเที่ยวที่นี่ก่อนเดินทางจริงประมาณ 11 ชั่วโมงเห็นจะได้ ตื่นเต้นทั้งทริปเลยแหละ
นี่ครั้งแรกที่ได้เดินทางกับสายการบินบางกอกแอร์เวย์นะคะ ประทับใจกับอาหารนะ เราว่าแค่บินในประเทศเค้าก็จัดเต็มอาหารให้ เราก็ชอบสิ กระเป๋าก็ไม่ต้องโหลดเพิ่ม ให้ฟรี 20 กก. ที่นั่งภายในก็กว้างขวาง จริงๆ แล้วก็ไม่กระทบกับเราเท่าไหร่นะเรื่องที่นั่ง เพราะเราขาสั้นอยู่แล้ว
ถึงกระบี่ก็เกือบๆเที่ยงแน่ะ แวะเที่ยวก่อน check in โรงแรม นะจ๊ะ จะได้ไม่เสียเวลาเที่ยว ที่แรก ลุยกันที่เกาะกลาง ต้องนั่งเรือข้ามมาเกาะไปกลับ คนละ 100 บาทนะคะ
เห็นไหมๆๆ นี่ค่ะ ใช่ค่ะ เรือลำนี้ละ จะพาเราไปถึงจุดมุ่งหมาย(มั๊ย) ระหว่างแล่นเรือ เพลินๆ หัวกระเซิงเล็กน้อย ลมเย็นๆ ชิว ได้ใจดีจริงๆ
มุ่งหน้าสู่เกาะกลางระหว่างที่นั่งเรือก็เพลิดเพลิน ชม วิว ไปเรื่อยๆ ใช้เวลานั่งเรือไม่นาน 15 นาทีเห็นจะได้
ลงปุ๊บก็เรียกรถตุ๊กๆ ชม เกาะกลาง ดูวิถีชีวิตคนพื้นเมือง ในใจคิดนี่เราอยู่ประเทศไทยแท้ๆ เพิ่งเคยมา มีที่เที่ยวแบบนี้ด้วยแฮะมันเจ๋งมาก จากที่ถามคนขับรถ ที่เกาะกลางนี้มีประชากรอยู่ที่นี่ประมาณ 5000 คน และส่วนมากก็เป็นชาวมุสลิม ระหว่างที่นั่งรถตุ๊กๆ ชมวิวไปเรื่อยๆ สองข้างทางก็ยังมีให้เห็น ทั้งแพะ ทั้งวัว ป่า นาข้าว และบ้านที่พักทีมีให้เห็นก็จะเป็นบ้านไม้ส่วนมากอยู่กันแบบราบเรียบ ก็ได้เรียนรู้วิถัชีวิตไปอีกแบบ ใช้ชีวิตช้าลง อยู่กับน้ำ กับ ป่า อาหารง่ายๆ มันใช่นะ สนุกจัง
จากนั้นแวะวัดถ้ำเสือ สวยอย่าบอกใครเชียว ระหว่างที่เราสองคนตัดสินใจจะเดินขึ้นบรรไดไปชมความงดงามรอบๆเมืองกระบี่ ด้วย เดินการเดินขึ้นบรรได 2000 ขั้น ก็เลยต้องกระดก กระทิงแดงไป คนละขวดเพื่อพละเพิ่มกำลัง ระหว่างเดินขึ้นบรรได ขั้นที่ 5 อิเพื่อนดิฉันมองเห็นลิงรายล้อม ประมาณ 4-5 ตัวเห็นจะได้ นางกลัวไม่กล้าขึ้นจ้า จบกัน…. วิวกระบี่ พิชิตบรรได 2000 ขั้น และที่ซัดกระทิงเพิ่มพลังไป คืออะไร สรุป ก็ดูวิวแต่ข้างล่างเนาะ ได้ภาพมาก็เท่านี้จ้า
บ่าย 3 โมง ได้เวลา Check in โรงแรมแล้ววว พวกเราก็เลยมุ่งหน้า สู่โรงแรม คืนนี้นอนที่นี่ค่ะ ห้องพักค่อนข้างเรียบๆ ตกแต่แนวบาหลีสไตล์ปนไทย นะเราว่าแต่ถ้าใครมองเห็นเป็นสไตล์อื่นก็แล้วแต่นะ หุหุ….. เกินความความคาดหวังมาก เป็นห้องพัดลม สบาย ไม่ร้อนเลย ห้องน้ำก็กว้างขวางชอบมาก แถมมีรถ รับส่ง ฟรี ไปหาด อีก ตะหาก แต่รถจะออกทุกๆ ชั่วโมง
พัก แป๊บ แต่งตัว เตรียมออกไปลัลลา ชม ทะเล สาย น้ำ แสงแดดยามเย็น พระอาทิตย์ตกดิน โอบล้อมด้วยขุนเขา กับป่าเขาลำเนาไพร แค่คิดเราก็แฮปปี้มาก นี่ทริปเพื่อเพื่อนเลยนะ เห็นใจนางมาไกล เลยจัดเต็มให้ ถ้ามาช้าอีกนิด ที่นี่เต็มค่ะ เหลือที่ว่างที่เดียว โชคดีมากๆ ใครจะมาที่นี่แนะนำต้องจองล่วงหน้าเลยนะคะ วันที่เราพอดีทัวร์ต่างชาติก็มาก็เลยดูครึกครื้นอย่างที่เห็น
ต่อด้วยถนนคนเดิน ในเมือง กินข้าวยำ ลูกชิ้น แหนมย่าง ไส้อั่ว ทอดมัน กินไปเรื่อยตลาดคนเดิน ระรานตา แต่ด้วยวันหยุด คนเดินเยอะมาก และสองมือของเราและเพื่อนมีแต่ของกินเลยจ้า เลยถ่ายรูปได้มาแค่น้องนางรำหน้าทางเข้าถนนคนเดินนะ
Day 6 นัดรถมารับไปทัวร์ขี่ช้าง ที่อ่าวนาง ตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นที่มองไม่ค่อยเห็นเท่าไหร่เพราะต้นไม้บัง และ นั่งรออาหารเช้า (ฟรี) มีให้เลือกตั้งหลายอย่างแน่ะ แต่ไม่ใช่บุฟเฟต์นะ เราเลือกเป็น ข้าวต้มไก่ +น้ำส้ม+ ชาร้อน
และแล้วก็ถึงเวลานัด 9.00 เป๊ะ นั่งใจตุ้มๆๆ ต่อม กับประสบการณ์ขี่ช้างครั้งแรก มันระทึก สงสารช้างกลัวหนัก กลัวช้างเหนื่อย กลัวตก กลัวสารพัด คือคิดเยอะ ด้วยเวลา 45 นาที เราว่าเวลาก็กำลังดีเพราะพี่ช้าง เรียกพี่ช้างนะคะ เพราะเค้าอายุมาก 45 ปีแล้วค่ะ คุณพี่ก็จะเดินช้า และสนใจของกินไปตลอด 2 ข้างทางที่เจอ เลยทำให้ชอบออกนอกเส้นทางตล๊อด อันนี้ไม่ว่ากัน ถามควาญช้างได้ความว่า ช้างต้องกินอาหารอย่างน้อย 100 กิโลต่อวันเลยนะจ๊ะ
เผลอแป๊บๆ เที่ยงวัน แวะทานอาหารเม๊กซิกัน บ้านเกิด(เพื่อน)ซะหน่อย มาร้านนี้นะคะ ที่อ่าวนางนี่แหละ ทั้งร้านมีแค่เรา 2 คนจ้า คุยกันเพลินเลย สั่ง ship และ Salsa ซอส มาทาน อร่อยจนต้องสั่งเพิ่มอีก 1 จาน แนะนำทานคู่กับไวน์แดง อร่อยจริงๆ
เดินเล่นๆ แบบไม่แคร์แดด ถึงแดดจะแรงเราก็จะไป เดินเล่นไปถึงชายหาดอ่าวนาง ได้วิวนี้ มา แต่เราว่าช่วงนี้แลดูน้ำไม่ค่อยใส หรือเป็นปรกติฮะ อันนี้ไม่แน่ใจ
Day 7: ขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพ และ พานางไป check in ขึ้นเครื่องต่อเพื่อกลับบ้านจ้า หมดเวลา vacation แล้ว เรานี่ลุ้นตั้งแต่เรื่อง น้ำหนักกระเป๋าจะเกินไหม เพราะนางซื้อของกลับแยะมาก และต่อด้วยเรื่อง check in ทันไหม เพราะคนมหาศาลเลยท่าสนามบิน สรุป สุดท้าย ก็เป็นอันโล่งอก ทุกอย่างราบรื่น และนางกลับถึงบ้านปลอดภัย… บ๊ายยยเจอกันใหม่ทริปหน้า…
ขอบคุณ Jackie เพื่อนร่วมทริป และภาพสวยๆของนาง
ขอบคุณน้องเอ็มที่ติดต่อและแนะนำที่เที่ยวที่กระบี่ให้
ขอบคุณพี่รี ที่ยอมนอนดึก ลากสังขารมาเป็นเพื่อนพวกเราดริ๊ง
และท้ายสุดขอบคุณตัวเอง นี่ละ ที่ทำให้มันสนุก มาก ทริปนี้
กล้าออกจากกรอบเดิมๆ จะพบว่าเรายังทำอะไรได้อีกเยอะ จ้า
Get out of your comfort zone